ปัญหาวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ ที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2551 (2008) เนื่องจากความผิดพลาดของสหรัฐอเมริกาในการจัดการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์และการกำกับดูแลกลุ่มวาณิชธนกิจ (investment banker) อย่างไม่รัดกุม จนเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องและคุกคามความมั่นคงของสถาบันการเงิน ซึ่งแตกต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 ที่มีสาเหตุจากความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของไทยจนมีทุนสำรองระหว่างประเทศไม่เพียงพอ ประกอบกับสถาบันการเงินมีปัญหา
วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์เป็นปัญหาที่เกิดจาก “ซับไพรม์”( sub-prime) คือ ลูกหนี้เงินกู้ (ซื้อบ้านและอสังหาริมทรัพย์) ที่มีเครดิตต่ำกว่าระดับมาตรฐานที่สถาบันการเงินกำหนดไว้ที่จะปล่อยให้กู้ได้ ซึ่งในกรณีเกิดจาก ปัญหา sub-prime mortgage ในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือสินเชื่อที่ปล่อยให้กู้ให้กับลูกหนี้ที่มีเครดิตทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐานโดยใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน จนเกิดปัญหาลุกลามทำให้บริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาถึงกับล้มละลายนั้น เนื่องจากลูกหนี้กลุ่ม "ซับไพรม์" นี้สถาบันการเงินทั่วไปจะไม่ปล่อยกู้ จึงมีการตั้งบริษัทอิสระมาปล่อยกู้แทน ส่วนเงินที่บริษัทเหล่านั้นนำมาปล่อยกู้ก็ใช้วิธีออกตราสารหนี้แล้วใช้อสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ค้ำประกันตราสารหนี้อีกที ถ้าเกิดมีปัญหา ลูกหนี้ผิดชำระหนี้ บริษัทเหล่านั้นก็จะขายอสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ เพื่อนำเงินไปจ่ายคืนให้คนที่ซื้อตราสารหนี้ ธนาคารยึดทรัพย์ขายทอดตลาด แล้วเอาเงินมาจ่ายให้ผู้ฝากเงิน หลายปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกามีลูกหนี้ซับไพรม์เกิดมากมาย เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการขายตราสารหนี้ออกไปทั่วโลก พอมาปีที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มไม่ค่อยดี ลุกหนี้กลุ่มซับไพรม์นี้ เริ่มไม่จ่ายหนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริการาคาตก ส่งผลให้บริษัทที่ปล่อยกู้ เงินก็เริ่มขาดมือไม่สามารถจ่ายเงินให้กับผู้ที่ซื้อตราสารหนี้ ผลที่ตามมาคือกองทุนเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ขาดทุนอย่างมากจากตราสารหนี้ที่ถือไว้ จากกรณีนี้ธนาคารกลางทั้งในสหรัฐอเมริกา(เฟด) อียู และญี่ปุ่น มีการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาล กว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท เพื่อสกัดปัญหาไม่ให้ลุกลามกลายเป็นวิกฤตการเงินระลอกใหม่
วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์เป็นปัญหาที่เกิดจาก “ซับไพรม์”( sub-prime) คือ ลูกหนี้เงินกู้ (ซื้อบ้านและอสังหาริมทรัพย์) ที่มีเครดิตต่ำกว่าระดับมาตรฐานที่สถาบันการเงินกำหนดไว้ที่จะปล่อยให้กู้ได้ ซึ่งในกรณีเกิดจาก ปัญหา sub-prime mortgage ในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือสินเชื่อที่ปล่อยให้กู้ให้กับลูกหนี้ที่มีเครดิตทางการเงินต่ำกว่ามาตรฐานโดยใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน จนเกิดปัญหาลุกลามทำให้บริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาถึงกับล้มละลายนั้น เนื่องจากลูกหนี้กลุ่ม "ซับไพรม์" นี้สถาบันการเงินทั่วไปจะไม่ปล่อยกู้ จึงมีการตั้งบริษัทอิสระมาปล่อยกู้แทน ส่วนเงินที่บริษัทเหล่านั้นนำมาปล่อยกู้ก็ใช้วิธีออกตราสารหนี้แล้วใช้อสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ค้ำประกันตราสารหนี้อีกที ถ้าเกิดมีปัญหา ลูกหนี้ผิดชำระหนี้ บริษัทเหล่านั้นก็จะขายอสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ เพื่อนำเงินไปจ่ายคืนให้คนที่ซื้อตราสารหนี้ ธนาคารยึดทรัพย์ขายทอดตลาด แล้วเอาเงินมาจ่ายให้ผู้ฝากเงิน หลายปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกามีลูกหนี้ซับไพรม์เกิดมากมาย เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการขายตราสารหนี้ออกไปทั่วโลก พอมาปีที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มไม่ค่อยดี ลุกหนี้กลุ่มซับไพรม์นี้ เริ่มไม่จ่ายหนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริการาคาตก ส่งผลให้บริษัทที่ปล่อยกู้ เงินก็เริ่มขาดมือไม่สามารถจ่ายเงินให้กับผู้ที่ซื้อตราสารหนี้ ผลที่ตามมาคือกองทุนเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ขาดทุนอย่างมากจากตราสารหนี้ที่ถือไว้ จากกรณีนี้ธนาคารกลางทั้งในสหรัฐอเมริกา(เฟด) อียู และญี่ปุ่น มีการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาล กว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท เพื่อสกัดปัญหาไม่ให้ลุกลามกลายเป็นวิกฤตการเงินระลอกใหม่
สาเหตุหลักๆของวิกฤตแฮมเบอเกอร์
1. สหรัฐอเมริกามีทุนไหลเข้าไปในประเทศมากจนล้นออกไปในภาคอสังหาริมทรัพย์
เกิดฟองสบู่เก็งกำไรกันขึ้น ต้นเหตุที่ทำให้สหรัฐอเมริกามีเงินทุนไหลเข้ามากและได้มาในราคาต่ำกว่าชาว โลกอื่นๆ ก็เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลักซึ่งเป็นที่เชื่อถือของชาวโลกมายาว นาน ปัจจุบันมีเงินดอลลาร์ไหลเวียนเป็นทุนและหนี้อยู่ในต่างประเทศเป็นจำนวน มหาศาล เมื่อสหรัฐจะใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยก็ทำได้ด้วยการพิมพ์ธนบัตรให้ แถมสหรัฐยังเป็นประเทศเดียวที่ทำได้เพราะดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก มีคนเรียกสิ่งนี้ว่า exorbitant privilege (อภิสิทธิ์เกินกว่าสมควร) ของสหรัฐ อีกทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเหตุการณ์ 9/11 และการที่มีทุนมากทำให้ช่วงเวลา 5-6 ปี ก่อน 2007 ผู้คนในสหรัฐกู้เงินผ่อนบ้านกันได้ง่าย เกิดการเก็งกำไรจนเป็นฟองสบู่ราคาบ้าน ยัดเยียดให้กู้ทั้งที่ไม่ปัญญาผ่อนส่ง แต่ก็ไม่กลัวกันเพราะมั่นใจว่าราคาบ้านจะสูงขึ้นเรื่อยๆ กำไรจากราคาบ้านจะคุ้มดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย นักค้าเงินทั้งหลายรื่นเริงกับความร้อนแรงของธุรกิจ mortgage (จำนองอสังหาริมทรัพย์) โดยไม่กังวลว่าฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จะแตก และมันก็แตกจริงๆ
2. สาเหตุที่สองคือความโลภ ในธุรกิจ mortgage ผู้ ทำธุรกิจไม่ว่าธนาคารเพื่อที่อยู่อาศัย สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย วานิชธนกิจ ฯลฯ คิดประดิษฐ์ ตราสารไม่ว่าจะเป็นหุ้นกู้ หุ้นหรือ อนุพันธ์ (derivatives) ประหลาดๆออกมากมายหลายตัวที่ไม่มีใครเข้าใจถึงผลกระทบหากว่ามันมีการผันผวน ไปในทางลบ ตราสารเหล่านี้ใช้กันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงและป้องกันความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง คนเลยแห่กันมาลงทุนตราสารพวกนี้กันมาก
วาณิชธนกิจ 5 บริษัทใหญ่ คือ Bear Sterns/ Merrill Lynch/ Lehman Brothers/ Goldman Sachs/ Morgan Stanley ทำธุรกิจเช่นนี้ โดยขาดการควบคุมเข้มงวดจากรัฐเหมือนสถาบันการเงินทั่วไป ที่มีแหล่งเงินทุนจากเงินฝาก ในขณะที่วาณิชธนกิจอยู่ได้ด้วยการกู้เงินมาต่อเงิน เมื่อทุกอย่างสะดุด กู้เงินอีกก็ไม่ได้ หุ้นก็ตก (ถึงกู้ได้ก็แพงกว่าเก่า) ก็ขาดสภาพคล่องซึ่งเป็นหัวใจของการประกอบธุรกิจ ถ้าไม่มีใครเอาเงินมาช่วยใส่ให้ ก็ต้องปิดบริษัทไป หรือถ้าดีกว่าหน่อยก็ถูกเทกโอเวอร์
ทั้งหมดนี้มันพัวพันกันเพราะไม่รู้ว่าใครซื้อใครไว้มากน้อยแค่ไหน รู้แต่ว่ามันเดี่ยวข้องกันอยู่ หากปล่อยให้รายใหญ่เช่น AIG ล้มไปก็อาจเกิดผลกระทบกว้างไกลได้ ก็เลยต้องมีการอุ้มดังที่เห็นกัน
3. ความไม่รู้ ไม่เข้าใจและงมงายของคนซื้อตราสารใหม่ๆ (ลงทุน) เพราะ ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนสูงและดูปลอดภัย ปัจจุบันนวัตกรรมตราสารมีพิสดารกว่านี้มากมาย (เช่น เอาไปผูกไว้กับดัชนีหุ้น ดัชนีน้ำฝน ราคาน้ำมัน ฯลฯ เพื่อประกันความเสี่ยง) ซึ่งเมื่อลงทุนอย่างไม่รู้ ไม่เข้าใจ ผลที่ตามมาก็คือเจ๊งลูกเดียว
อ้างอิง: http://www.l3nr.org/posts/400329
1. สหรัฐอเมริกามีทุนไหลเข้าไปในประเทศมากจนล้นออกไปในภาคอสังหาริมทรัพย์
เกิดฟองสบู่เก็งกำไรกันขึ้น ต้นเหตุที่ทำให้สหรัฐอเมริกามีเงินทุนไหลเข้ามากและได้มาในราคาต่ำกว่าชาว โลกอื่นๆ ก็เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลักซึ่งเป็นที่เชื่อถือของชาวโลกมายาว นาน ปัจจุบันมีเงินดอลลาร์ไหลเวียนเป็นทุนและหนี้อยู่ในต่างประเทศเป็นจำนวน มหาศาล เมื่อสหรัฐจะใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยก็ทำได้ด้วยการพิมพ์ธนบัตรให้ แถมสหรัฐยังเป็นประเทศเดียวที่ทำได้เพราะดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลก มีคนเรียกสิ่งนี้ว่า exorbitant privilege (อภิสิทธิ์เกินกว่าสมควร) ของสหรัฐ อีกทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเหตุการณ์ 9/11 และการที่มีทุนมากทำให้ช่วงเวลา 5-6 ปี ก่อน 2007 ผู้คนในสหรัฐกู้เงินผ่อนบ้านกันได้ง่าย เกิดการเก็งกำไรจนเป็นฟองสบู่ราคาบ้าน ยัดเยียดให้กู้ทั้งที่ไม่ปัญญาผ่อนส่ง แต่ก็ไม่กลัวกันเพราะมั่นใจว่าราคาบ้านจะสูงขึ้นเรื่อยๆ กำไรจากราคาบ้านจะคุ้มดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย นักค้าเงินทั้งหลายรื่นเริงกับความร้อนแรงของธุรกิจ mortgage (จำนองอสังหาริมทรัพย์) โดยไม่กังวลว่าฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์จะแตก และมันก็แตกจริงๆ
2. สาเหตุที่สองคือความโลภ ในธุรกิจ mortgage ผู้ ทำธุรกิจไม่ว่าธนาคารเพื่อที่อยู่อาศัย สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย วานิชธนกิจ ฯลฯ คิดประดิษฐ์ ตราสารไม่ว่าจะเป็นหุ้นกู้ หุ้นหรือ อนุพันธ์ (derivatives) ประหลาดๆออกมากมายหลายตัวที่ไม่มีใครเข้าใจถึงผลกระทบหากว่ามันมีการผันผวน ไปในทางลบ ตราสารเหล่านี้ใช้กันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงและป้องกันความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง คนเลยแห่กันมาลงทุนตราสารพวกนี้กันมาก
วาณิชธนกิจ 5 บริษัทใหญ่ คือ Bear Sterns/ Merrill Lynch/ Lehman Brothers/ Goldman Sachs/ Morgan Stanley ทำธุรกิจเช่นนี้ โดยขาดการควบคุมเข้มงวดจากรัฐเหมือนสถาบันการเงินทั่วไป ที่มีแหล่งเงินทุนจากเงินฝาก ในขณะที่วาณิชธนกิจอยู่ได้ด้วยการกู้เงินมาต่อเงิน เมื่อทุกอย่างสะดุด กู้เงินอีกก็ไม่ได้ หุ้นก็ตก (ถึงกู้ได้ก็แพงกว่าเก่า) ก็ขาดสภาพคล่องซึ่งเป็นหัวใจของการประกอบธุรกิจ ถ้าไม่มีใครเอาเงินมาช่วยใส่ให้ ก็ต้องปิดบริษัทไป หรือถ้าดีกว่าหน่อยก็ถูกเทกโอเวอร์
ทั้งหมดนี้มันพัวพันกันเพราะไม่รู้ว่าใครซื้อใครไว้มากน้อยแค่ไหน รู้แต่ว่ามันเดี่ยวข้องกันอยู่ หากปล่อยให้รายใหญ่เช่น AIG ล้มไปก็อาจเกิดผลกระทบกว้างไกลได้ ก็เลยต้องมีการอุ้มดังที่เห็นกัน
3. ความไม่รู้ ไม่เข้าใจและงมงายของคนซื้อตราสารใหม่ๆ (ลงทุน) เพราะ ดูเหมือนจะให้ผลตอบแทนสูงและดูปลอดภัย ปัจจุบันนวัตกรรมตราสารมีพิสดารกว่านี้มากมาย (เช่น เอาไปผูกไว้กับดัชนีหุ้น ดัชนีน้ำฝน ราคาน้ำมัน ฯลฯ เพื่อประกันความเสี่ยง) ซึ่งเมื่อลงทุนอย่างไม่รู้ ไม่เข้าใจ ผลที่ตามมาก็คือเจ๊งลูกเดียว
อ้างอิง: http://www.l3nr.org/posts/400329